Wednesday, May 9, 2012

วิธีการใช้ Adapter ของ iPhone, iPad (อย่าใช้สลับกันนะ)

เคยสงสัยกันไหมว่า สายชาร์จที่มากับ iPhone หรือ iPad นั้น มีข้อแตกต่างกันตรงไหน และเรามีวิธีถนอมสายชาร์จเหล่านี้กันอย่างไร ให้คงอยู่ได้นาน
สัปดาห์นี้ ทิปวันอาทิตย์ของ iPhone4Society จึงขอนำเสนอเทคนิคการดูแลรักษา และชาร์จ iPhone หรือ iPad มาแนะนำกันครับ



Image


ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สายชาร์จของอุปกรณ์พกพาของ Apple จะมีส่วนประกอบหลัก ๆ 2 ส่วน ได้แก่

>>> "สาย USB" สีขาว ที่หัวด้านหนึ่งเป็น USB ไว้เสียบกับคอม และอีกด้านเป็น Dock Connector แบน ๆ สำหรับเสียบเข้าอุปกรณ์ของเรา
>>> ปลั๊ก Adapter สำหรับต่อสาย USB เพื่อเสียบกับไฟบ้าน


โดยสายชาร์จที่มาในกล่องของอุปกรณ์แต่ละตัวนั้นมีข้อแตกต่างกันอยู่ ดังนี้

>>> ตระกูล iPod ทั้งหมด :
มีสาย USB มาให้ในกล่องอย่างเดียว เวลาชาร์จต้องเสียบกับคอม หากจะเสียบไฟบ้าน ต้องซื้อ Adapter เพิ่มเอาเอง
>>> iPhone : มีสาย USB และปลั๊ก Adapter (บนปลั๊กจะเขียนว่า จ่ายกำลังไฟ 5 วัตต์)
>>> iPad : มีสาย USB และปลั๊ก Adapter (บนปลั๊กจะเขียนว่า จ่ายกำลังไฟ 10 วัตต์)


Image


ปัญหามันอยู่ที่เจ้า Adapter นี่แหละครับ ที่ Adapter ของ iPhone และ iPad มีกำลังไฟต่างกัน ถึงแม้ว่าภายนอก จะดูเหมือนเป็นอย่างเดียวกันก็ตาม

นั่น ก็เนื่องมาจากความจุแบตเตอรีของ iPhone มีเพียงประมาณ 1,400 mAh ในขณะที่ iPad 2 นั้นจุกว่า 6,900 mAh และ iPad 3 ก็จุถึง 11,560 mAh
ใหญ่กว่า iPhone 4 ราว 8 เท่า!!!


การใช้ปลั๊ก Adapter ที่กำลังไฟต่ำ ก็จะทำให้ชาร์จอุปกรณ์ที่กินไฟสูงอย่าง iPad ไม่เข้าง่าย ๆ ผลที่ออกมาเลยเป็นดังต่อไปนี้


[ iPhone และ iPod ทุกรุ่น ]


สามารถเสียบ Adapter iPad ได้ จะชาร์จได้ไวขึ้น แต่อาจจะทำให้แบตเสื่อมได้ในระยะยาว เนื่องจากกำลังไฟสูงกว่าที่ึควรจะเป็น

อุปกรณ์เสริมของ iPhone นั้นมีมากมายตามท้องตลาด แต่ให้ระวังที่ชาร์จของจีนที่เกรดต่ำสักนิด เพราะอาจเสี่ยงต่อการระเบิดได้ครับ


ถ้า ต้องการจะซื้อที่ชาร์จเพิ่ม แต่ที่ชาร์จของ Apple ในราคา 1,090 บาทนั้นแพงเกินไป ให้ลองดูของญี่ปุ่นตามร้านกิฟต์ช็อปต่าง ๆ หรือที่ตัวแทนจำหน่ายดูครับ
จะมีตั้งแต่ราคา 300-500 บาทให้เลือกสรรกันเลย แต่ดูที่มาให้ดีสักนิดด้วยครับ



[ iPad ]


เนื่องจากความจุของ iPad ที่สูงกว่ามาก ดังนั้น หากนำ Adapter iPhone มาใช้ จะชาร์จไฟได้ช้ามาก และบนหน้าจอ iPad จะขึ้นว่า "ไม่ได้ชาร์จอยู่" (Not Charging)
เพราะหากเล่นไปด้วย แบตจะค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากกำลังไฟของ Adapter iPhone ไม่สูงพอกับอัตราการกินไฟของ iPad

ใน กรณีของ iPad หากไม่มีที่ชาร์จจริง ๆ ก็สามารถนำไปเสียบกับคอมพิวเตอร์แก้ขัดได้ แต่ต้องปิดหน้าจอเครื่องไว้ตลอดเวลาชาร์จด้วย มิเช่นนั้นไฟจะแทบไม่เข้าเลยครับ

และสายชาร์จที่มาในกล่องของ iPad (เฉพาะ The New iPad) จะช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรใช้ให้ถูกอัน ทั้งสายและปลั๊กครับ

สำหรับ The New iPad ที่เพิ่งออกใหม่นั้น ควรใช้สายของมันเองที่มากับกล่อง เพราะหากนำสายของ iPad 2 หรือ iPhone มาใช้ ความเร็วในการชาร์จจะตกลงถึง 30-40%
ทีเดียว!!! ไม่เชื่อก็ลองดูได้ครับ



***สรุป ง่าย ๆ คือ ใช้ที่ชาร์จให้ถูกอัน อันไหนมากับเครื่องไหน ก็ใช้กับเครื่องนั้น ยิ่งกับ iPad แล้ว ไม่ควรเอาที่ชาร์จหรือสายของ iPhone มาใช้เด็ดขาด หากไม่จำเป็น***

ก่อนจะไป เราขอฝากเทคนิคการดูแลรักษาสายชาร์จและบทความน่าสนใจไว้ครับ

>>> ควรพันสายชาร์จหลวม ๆ ไปในทางเดียวกัน ก่อนทำการเก็บ ไม่ใช่ว่าใช้เสร็จแล้วก็โยน ๆ ไว้
>>> อย่างอสายชาร์จในบริเวณโคน หรือปลายสาย เพราะสายอาจฉีกขาดได้ง่าย
>>> ไม่ควรเสียบสายชาร์จไว้กับ Adapter ตลอดเวลา อันนี้เห็นหลายคนมากครับ เสียบค้างไว้ แล้วพัน ๆ โยนใส่กระเป๋า แบบนี้สายขาดในและชำรุดง่ายมากเลย
>>> ชาร์จไฟเมื่อไรก็ได้ที่อยากชาร์จ และเสียบค้างไว้ทั้งคืนก็ได้ (แต่จะเปลืองค่าไฟ ฮ่าๆ) เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีระบบตัดไฟไม่ให้เข้าแบตเตอรีเมื่อแบตเต็ม อยู่แล้ว
>>> เล่นไปชาร์จไปก็ทำได้ แต่เครื่องอาจจะร้อน เพราะมีพลังงานหมุนเวียนในแบตเตอรีเยอะจนเกิดความร้อน วิธีแก้คือ หยุดเล่นได้แล้ว ไปพักบ้าง!


ที่มา : smart-mobile

No comments:

Post a Comment